เมนู

ย่อมไม่ติดอยู่ที่ใบปทุม ฉันใด มุนีย่อมไม่
ติดในรูปที่ได้เห็น เสี่ยงที่ได้ฟัง หรืออารมณ์
ที่ได้ทราบ ฉันนั้น.
ผู้มีปัญญาย่อมไม่สำคัญด้วยรูปที่ได้
เห็น เสียงที่ได้ฟัง หรืออารมณ์ที่ได้ทราบ
ย่อมไม่ปรารถนาความบริสุทธิ์ด้วย (มรรค
อย่างอื่น) ทางอื่น ผู้มีปัญญานั้น ย่อมไม่
ขึ้นดี ย่อมไม่ยินร้าย ฉะนี้แล.

จบชราสูตรที่ 6

อรรถกถาชราสูตรที่ 6


ชราสูตร

มีคำเริ่มต้นว่า อปฺปํ วต ชีวิตํ ชีวิตน้อยหนอ ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำพรรษาอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ทรง
พิจารณาถึงจารีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายในการเสด็จจาริกไปยังชนบทมีอาทิ
คือ ให้ถึงกามไม่มีโรค บัญญัติสิกขาบทที่ยังไม่ได้บัญญัติไว้ ทรมานเวไนย
สัตว์ เล่าชาดกเป็นต้น อันเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องนั้น ๆ แล้วจึงเสด็จจาริก
ไปยังชนบท. พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จจาริกไปโดยลำดับ ถึงเมืองสาเกต
ในตอนเย็น เสด็จเข้าไปยังป่าไม้อัญชัน. ชาวเมืองสาเกตทราบข่าวแล้วคิดว่า

บัดนี้ ยังไม่ถึงเวลาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นสว่างแล้วจึงถือดอกไม้และของ
หอมเป็นต้น ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากระทำการบูชากราบไหว้และชื่นชมเป็น
ต้นได้ยืนแวดล้อมจนถึงเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังบ้าน. ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า.แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปบิณฑบาต.
พราหมณ์มหาศาลคนหนึ่งชาวเมืองสาเกตออกจากเมืองได้เห็นพระผู้มี-
พระภาคเจ้านั้นที่ประตูเมือง. ครั้นเห็นแล้วเกิดความรักดังว่าเป็นบุตร ได้เดิน
ตรงไปเฉพาะพระพักตร์ร่ำไห้ว่า ลูกรัก พ่อเห็นลูกมานานแล้ว. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแจ้งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์นี้จงทำ
สิ่งที่ตนต้องการ อย่าห้าม. แม้พราหมณ์ก็ตรงเข้ากอดพระวรกายของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า โดยรอบ คือข้างหน้า ข้างหลัง ข้างขวา และข้างซ้าย เหมือนแม่โค
ของการลูกโคฉะนั้น กล่าวว่า ลูกรัก พ่อเห็นลูกมานานแล้ว ลูกได้จากพ่อ
ไปนานแล้ว. ผิว่า พราหมณ์นั้นไม่ได้ทำอย่างนั้น หัวใจจะแตกตาย. เขาได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์สามารถ
จะถวายทานเเก่ภิกษุทั้งหลายที่มากับพระองค์ได้ ขอพระองค์จงอนุเคราะห์แก่
ข้าพระองค์เถิดพระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับด้วยดุษณีภาพ. พราหมณ์
รับบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าเดินออกหน้าส่งข่าวให้แก่นางพราหมณีทราบว่า
บุตรของเรามาแล้ว พึงปูอาสนะไว้. นางพราหมณีได้ทำตามนั้น ยืนดูอยู่เห็น
พระผู้มีพระภาคเจ้า ในระหว่างถนนเกิดความรักดังว่าเป็นบุตร จับที่พระบาท
ร่ำไห้ว่าลูกรัก แม่เห็นลูกมานานแล้ว แล้วนำไปเรือนอังคาสด้วยความเคารพ.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จแล้ว พราหมณ์นำบาตรออก. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงทราบธรรมเป็นที่สบายของพราหมณ์แลนางพราหมณีนั้น จึงทรง
แสดงธรรม. เมื่อจบเทศนาทั้งสองก็ได้เป็นพระโสดาบัน.
ลำดับนั้น พราหมณ์และนางพราหมณีกราบทูลวิงวอนพระผู้มีพระภาค-
เจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงรับภิกษาในเรือนของข้าพระองค์
ตลอดเวลาที่พระองค์ประทับอยู่ ณ เมืองนี้เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธ
ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายมิได้เสด็จไปยังที่แห่งเดียวเท่านั้นติดต่อกัน. พราหมณ์
และนางพราหมณีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ถ้าเช่นนั้น แม้พระองค์เสด็จ
บิณฑบาตกับภิกษุสงฆ์แล้วอนิมนต์เสวยภัตตาหาร ณ ที่นี้ แสดงธรรมเสร็จ
จึงกลับพระวิหารเถิดพระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำตามนั้นเพื่อทรง
อนุเคราะห์พราหมณ์และนางพราหมณีนั้น. ชนทั้งหลายพากันกล่าวถึงพราหมณ์
และนางพราหมณีว่า เป็นพุทธบิดา พุทธมารดา. แม้ตระกูลนั้นก็ได้ชื่ออย่างนั้น.
พระอานนท์เถระกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าพระองค์รู้จัก
พระมารดาพระบิดาของพระองค์ แต่เหตุไร พราหมณ์และนางพราหมณีนี้จึง
กล่าวว่า เราเป็นพุทธบิดา เราเป็นพุทธมารดา ดังนี้เล่า พระเจ้าข้า. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ นางพราหมณีและพราหมณ์ได้เคยเป็น
มารดาบิดาของเราเป็นลำดับมาตลอด 500 ชาติ เป็นลุงเป็นป้าของเรามา
500 ชาติ เป็นอาเป็นน้ามา 500 ชาติ พราหมณ์และนางพราหมณีนั้นกล่าว
ด้วยความรักในชาติก่อนนั่นเอง และได้ตรัสคาถานี้ว่า
ความรักนั้นย่อมเกิดเพราะเคยอยู่ร่วม
กันมาก่อน หรือเพราะเกื้อกูลกันในปัจจุบัน
เหมือนดอกบัวเกิดในน้ำ ฉะนั้น.

แต่นั้นมา พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ตามความพอพระทัย ณ เมือง
สาเกต แล้วเสด็จจาริกไปอีก ได้เสด็จกลับกรุงสาวัตถี. พราหมณ์และนาง
พราหมณีเข้าไปหาภิกษุทั้งหลาย ฟังธรรมเทศนาอันเหมาะสมแล้วบรรลุมรรค
ที่เหลือ นิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. ในเมือง พวกพราหมณ์ประชุม
ปรึกษากันว่า เราจักสักการะญาติของพวกเรา. พวกอุบาสกและอุบาสิกาที่เป็น
โสดาบัน สกทาคามี และอนาคามี ต่างก็ประชุมปรึกษากันว่า พวกเราจักสักการะ
เพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมของพวกเรา. ชนทั้งหมดเหล่านั้นจึงยกเรือนยอดดาดด้วย
ผ้ากัมพล บูชาด้วยดอกไม้และของหอมเป็นต้น ออกจากเมืองไป.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ในวันนั้นตอนเช้าก็ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธ-
จักษุ ทรงทราบว่า พราหมณ์และนางพราหมณีนิพพาน ทรงทราบต่อไปว่า
เมื่อเราไป ณ ที่นั้น ชนเป็นอันมากจักบรรลุธรรม เพราะฟังธรรมเทศนา ทรง
ถือบาตรและจีวรเสด็จมาจากกรุงสาวัตถี เสด็จเข้าไปยังป่าช้า. พวกชนเห็นแล้ว
ได้ยืนประชุมกันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะทำฌาปนกิจมารดาบิดา
จึงเสด็จมา. แม้ชาวเมืองก็พากันบูชาเรือนยอด พากันมาป่าช้า กราบทูลถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อริยสาวกที่เป็นคฤหัสถ์จะพึงบูชาอย่างไร. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความเป็นอเสกขมุนีของอริยสาวกผู้เป็นคฤหัสถ์
เหล่านั้นโดยพระประสงค์ว่า ควรบูชาอริยสาวกผู้เป็นคฤหัสถ์เหล่านี้เหมือนบูชา
พระอเสกขะ จึงตรัสคาถานี้ว่า
มุนีเหล่าใดเป็นผู้ไม่เบียดเบียนสำรวม
กายอยู่เป็นนิจ มุนีเหล่านั้นไปในที่ที่สัตว์
ทั้งหลายไปแล้วไม่ตาย ไม่พึงเศร้าโศก.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูบริษัทนั้นเมื่อจะทรงแสดงธรรมสมควร
แก่ขณะนั้นจึงได้ตรัสพระสูตรนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปํ วต ชีวิตํ อิทํ ชีวิตนี้น้อยหนอนี้มีนัย
ดังได้กล่าวแล้วในสัลลสูตรว่า ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนิดเดียว เพราะ
ตั้งอยู่ประเดี๋ยวเดียว เพราะมีรสอยู่ประเดี๋ยวเดียวดังนี้. บทว่า โอรํ วสฺสตาปิ
มิยฺยติ
สัตว์ย่อมตายแม้ภายใน 100 ปี คือตายแม้ในเวลาที่ยังเป็นกลละ
(รูปที่เกิดเป็นครั้งแรกในขณะเริ่มตั้งครรภ์) ต่ำกว่า 100 ปี. บทว่า อติจฺจ
อยู่เกิน คืออยู่เกิน 100 ปี. บทว่า ชรสาปิ มิยฺยติ คือ สัตว์นั้นย่อมตาย
แม้เพราะชรา.
บทว่า มมายิเต คือ เพราะสิ่งที่ตนยึดถือว่าเป็นของเรา. บทว่า
วินาภาวสนฺตเมวิทํ คือ สิ่งนี้มีความพลัดพรากจากกันมีอยู่ ท่านอธิบายว่า
จะไม่มีการพลัดพรากจากกันไปไม่ได้. บทว่า มามโก ผู้นับถือพระพุทธเจ้า
ว่าเป็นของเรา คือนับถือว่าอุบาสกหรือภิกษุของเรา หรือนับถือพระพุทธเจ้า
เป็นต้นว่าเป็นของเรา. บทว่า สงฺคตํ อารมณ์อันประจวบคืออารมณ์ที่มาถึง
หรือที่เคยเห็น. บทว่า ปิยายิตํ บุคคลที่คนรัก คือบุคคลที่ตนทำให้เป็นที่รัก.
บทว่า นามเมวาวสิสฺสติ อกฺเขยฺยํ ชื่อเท่านั้นที่ควรกล่าวถึงยังเหลืออยู่ คือ
ธรรมชาติมีรูปเป็นต้นทั้งหมดละไป ส่วนชื่อเท่านั้นยังเหลือเพื่อเรียกกันอย่าง
นี้ว่า พุทฺธรกฺขิโต ธมฺมรกฺขิโต. บทว่า มุนโย มุนีทั้งหลาย ได้แก่พระมุนี
ผู้เป็นขีณาสพ. บทว่า เขมทสฺสิโน ได้แก่ ผู้เห็นนิพพาน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาที่ 7 เพื่อทรงแสดงถึงการปฏิบัติอัน
สมควรในโลกที่ถูกความตายกำจัดอย่างนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิลีนจรสฺส ของภิกษุผู้ประพฤติหลีกเร้นอยู่
คือของภิกษุผู้ประพฤติทำจิตหลีกเร้นอยู่จากที่นั้น ๆ. บทว่า ภิกฺขุโน ได้แก่
กัลยาณปุถุชนหรือพระเสกขะ. บทว่า สามคฺคิยมาหุ ตสฺส ตํ โย อตฺตานํ
ภวเน น ทสฺสเย
ความว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้ที่ปฏิบัติอย่างนี้ไม่แสดง
ตนในภพอันต่างด้วยนรกเป็นต้น ว่าเป็นการสมควร. อธิบายว่า ยิ่งไปกว่านั้น
บัณฑิตนั้นพึงพ้นจากความตาย.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงพระขีณาสพอย่างนี้ว่า ผู้ที่ไม่แสดงตน
ในภพ ดังนี้ จึงตรัสคาถา 3 คาถา ต่อจากนี้เพื่อพรรณนาคุณของพระขีณาสพนั้น .
ในบทเหล่านั้นบทว่า สพฺพตฺถ ในอายตนะทั้งปวง คือในอายตนะ 12.
ก็ในบทนี้ว่า ยทิทํ ทิฏฺฐํ สุตํ มุเตสุ วา พึงทราบการเชื่อมความอย่างนี้ว่า มุนี
ย่อมไม่ติดในรูปที่ได้เห็น ในเสียงที่ได้ฟัง หรือในอารมณ์ที่ได้ทราบ อย่างนี้.
บทว่า โธโน น หิ เตน มญฺญติ ยทิทํ ทิฏฺฐํ สุตํ มุเตสุ วา พึงทราบการ
เชื่อมความอย่างนี้เหมือนกันว่า ผู้มีปัญญาย่อมไม่ส่าคัญด้วยรูปที่ได้เห็น ด้วย
เสียงที่ได้ฟัง หรือย่อมไม่สำคัญ ในอารมณ์ที่ได้ทราบ. บทว่า น หิ โส รชฺชติ
โน วิรชฺชติ
ผู้มีปัญญานั้น ย่อมไม่ยินดีย่อมไม่ยินร้าย ความว่า ผู้มีปัญญา
ย่อมไม่ยินดี เหมือนปุถุชนที่เป็นพาล ย่อมไม่ยินร้าย เหมือนกัลยาณปุถุชน
และพระเสกขะ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ยินดียินร้าย เพราะสิ้นราคะแล้วนั่นเอง.
บทที่เหลือในที่ทั้งปวงชัดดีแล้ว.
ในเวลาจบเทศนาสัตว์ 84,000 ได้บรรลุธรรมแล้ว
จบอรรถกถาชราสูตรที่ 84,000 แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา

ติสสเมตเตยยสูตรที่ 7


ว่าด้วยความคับแค้นด้วยประกอบเมถุนธรรมเนือง ๆ


ท่านพระติสสเมตเตยยะทูลถามปัญหาว่า
[414] ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอ
พระองค์ตรัสบอกความคับแค้นแห่งบุคคลผู้
ประกอบเมถุนธรรมเนือง ๆ เถิด ข้าพระองค์
ทั้งหลายได้สดับคำสั่งสอนของพระองค์แล้ว
จักศึกษาในวิเวก.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า
ดูก่อนเมตเตยยะ ความคับแค้นของ
บุคคลผู้ประกอบเมถุนธรรมมีอยู่ บุคคล
ผู้ประกอบเมถุนธรรม ย่อมลืมแม้คำสั่งสอน
และย่อมปฏิบัติผิด นี้เป็นกิจไม่ประเสริฐใน
บุคคลนั้น.
บุคคลใดประพฤติอยู่ผู้เดียวในกาล-
ก่อนแล้ว เสพเมถุนธรรม (ในภายหลัง)
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นว่า เป็นคนมี
กิเลสมากในโลก เหมือนยวดยานที่แล่นไป
ใกล้เหว ฉะนั้น.